การจัดตั้ง
ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก
(child safety promotion and injury prevention research center)
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 ดำเนินงานโดยมีวัตถุประสงค์ กลยุทธ์และการดำเนินงานดังนี้
1.2 สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ทั้งเชิงกายภาพ-เทคโนโลยี (physical and technological) และ เชิงสังคม-การเมือง-การจัดการ (social, political and organizational) โดยใช้การวิจัยสร้างองค์ความรู้
2.1 เพื่อให้การดำเนินงานการสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์(scientific based) มีการวิจัยที่ดีสนับสนุนทั้งด้านชีวกลไก (biomechanic) พฤติกรรมศาสตร์ (behavioural science)ระบาดวิทยา (epidemiology) ด้านคลินิก (clinical research) และงานวิจัยเชิงระบบ (system research)
3. การดำเนินงานและการสนับสนุน
3.1 จัดทำชุดโครงการวิจัย(researchpackage)ที่มุ่งเป้าเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยชุดโครงการวิจัยนี้ขอรับการ
สนับสนุนจากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว) ชุดโครงการวิจัยนี้ประกอบด้วย
o ชุดความปลอดภัยในการจราจรในเด็ก
– ความปลอดภัยในการโดยสารจักรยานยนต์
– ความปลอดภัยในการโดยสารรถยนต์
– ความปลอดภัยในการโดยสารรถจักรยาน
– ความปลอดภัยในรถโรงเรียน
o ชุดความปลอดภัยในชุมชน
– ชุมชนปลอดภัย
– โรงเรียนปลอดภัย (ได้รับการสนับสนุนจากสสส)
– การป้องกันการจมน้ำในชุมชน
– การป้องกันการถูกรถชนในชุมชน
o ชุดผลิตภัณฑ์ปลอดภัย
– ของเล่นปลอดภัย
– สนามเด็กเล่นปลอดภัย
– ของใช้ทารกปลอดภัย
– บ้านปลอดภัย
– เครื่องใช้ในบ้านปลอดภัย
3.2 จัดตั้งเครือข่ายชุมชนปลอดภัย(safecommunity)ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานสร้างเสริมความปลอดภัยและการป้องกันการบาดเจ็บนี้เป็นการดำเนินงานเพื่อมุ่งเป้าในการเปลี่ยนแปลงระดับบุคคลครอบครัวและชุมชนอย่างแท้จริงโดยชุมชนที่จะเข้าอยู่ในเครือข่ายอาจเป็นชุมชนระดับหมู่บ้าน หรืออื่นๆ เช่น ระดับจังหวัด โรงเรียน แต่ต้องมีการดำเนินงานสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็กในชุมชน โดยชุมชนต้องแสดงถึงความตั้งใจอย่างจริงจังในการดำเนินงาน 10 ประการดังนี้
1. การจัดตั้งกลุ่มบุคคลในชุมชนเพื่อศึกษาปัญหา ปัจจัยเสี่ยงของการบาดเจ็บในเด็กในชุมชน และดำเนินการป้องกัน
2. การเชื่อมโยงหน่วยงานรัฐและเอกชนทั้งภายในและภายนอกชุมชนเพื่อดำเนินการป้องกันการบาดเจ็บในชุมชน
3. ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บแก่เด็กกลุ่มเสี่ยงเช่น เด็กพิการ เด็กในครอบครัวยากจน เด็กทำงาน เป็นต้น
4.ระบบการเฝ้าระวังการบาดเจ็บในเด็กในชุมชน
5.ระบบการสำรวจสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมเสี่ยงในชุมชน
6.การสนับสนุนการใช้อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยต่างๆเช่น หมวกนิรภัย ที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กในรถยนต์และรถจักรยาน อุปกรณ์ชูชีพ เครื่องตรวจจับควันไฟ เครื่องตัดไฟอัติโนมัติ เป็นต้น
7. การต่อต้านผลิตภัณฑ์และสิ่งแวดล้อมอันตรายที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ เช่นปืนอัดลม รถหัดเดิน เครื่องเล่นสนามที่ไม่ได้้มาตรฐาน การสร้างถนนในชุมชนโดยไม่มีทางเท้า การสร้างแหล่งกักเก็บน้ำโดยไม่มีรั้วกั้น เป็นต้น
8. การต่อต้านพฤติกรรมอันตราย(ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก)อันจะนำไปสู่การบาดเจ็บในเด็ก เช่นเมาแล้วนำเด็กนั่งตักขณะขับรถยนต์ เป็นต้น
9.การฝึกอบรมการป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก การปฐมพยาบาล การปฏิบัติการกู้ชีพเบื้องต้นในชุมชน
10.การรวบรวมความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการดำเนินงานในชุมชนเผยแพร่สู่ชุมชนอื่นเพื่อให้ขยายผลให้เกิดการดำเนินงานการสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็กในระดับชาติ
ขณะนี้โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) ได้ดำเนินการแล้วสองโครงการคือ โครงการโรงเรียนปลอดภัยระยะที่หนึ่ง (safe school, phade1) มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ 5 โรงเรียน และ โครงการ“เด็กไทยปลอดภัย” ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างชุมชนปลอดภัยสำหรับเด็ก
3.3 เชื่อมโยงเครือข่ายการสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็กเฉพาะเรื่องต่างๆ (child safety network in specific injury type)เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ในแต่ละเรื่องสู่การปฏิบัติที่แท้จริง รวมทั้งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายกฎกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยแต่ละเครือข่ายจะประกอบด้วยหน่วยงานรัฐ ผู้ผลิต ภาคเอกชนอื่นๆและ NGO
กิจกรรมการเชื่อมโยงเครือข่ายนี้ได้ขอรับการสนับสนุนจากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ/สกวในโครงการจัดการความรู้เพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก (เอกสารประกอบหมายเลข 2/ ได้รับการสนับสนุนจากสกว.ในโครงการจัดการความรู้สู่นโยบายสาธารณะ)
โดยได้ขอดำเนินการ 3 รูปแบบคือ
– การประชุมเครือข่ายเฉพาะเรื่อง ซึ่งประกอบด้วย เครือข่ายรถจักรยานยนต์ เครือข่ายรถยนต์ เครือข่ายจักรยาน เครือข่ายของเล่นปลอดภัย เครือข่ายสนามเด็กเล่นเครือข่ายสวนสนุกปลอดภัยเครือข่ายบ้านปลอดภัยเครือข่ายโรงเรียนปลอดภัย และเครือข่ายชุมชนปลอดภัย เพื่อนำผลการวิจัยสู่การผลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะ โดยผ่านเครือข่ายต่าง ๆ
– จัดให้มีกิจกรรมเชื่อมโยงและเคลื่อนไหวเครือข่าย โดยจัดตั้งการประชุมเพื่อรายงานและวิเคราะห์กรณีศึกษาทุก 2 เดือน เครือข่าย ที่เกี่ยวข้องการสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก โดยทำการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล กรณีเด็กตายและบาดเจ็บรุนแรงและนำเสนอ ต่อที่ประชุมทุก 2 เดือน เพื่อให้เกิดการวิพากษ์ถึงสาเหตุปัจจัย และการแก้ไข ป้องกัน ดำเนินการเผยแพร่ผลการประชุมต่อ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสื่อสารมวลชน (ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิสาธารณสุข / สกว ในโครงการจัดการความรู้สู่
นโยบายสาธารณะ)
– จัดตั้งระบบข้อมูลเพื่อระดมความรู้ในเรื่องการสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็กที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จาก องค์กรต่างๆเพื่อนำมาใช้ร่วมกัน และให้ประชาชน ชุมชน สามารถเข้าถึงองค์ความรู้เหล่านั้น
3.4 ใช้เทคนิคการสื่อสารความรู้ (knowledge communication techniques) ทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดความ ตระหนักในวงกว้าง
– จัดตั้งเครือข่าย “ สื่อสารมวลชน เพื่อความปลอดภัยในเด็ก ”
– ดำเนินการร่วมกับสื่อสาขาต่างๆในการผลิตสื่อเพื่อความปลอดภัยในเด็กสู่ประชาชนโดยการป้อนข้อมูลให้สื่อเพื่อให้สื่อใช้ทรัพยากรเดิมที่สื่อมีอยู่แล้วเป็นหลัก
– จัดตั้งโครงการรณรงค์เพื่อสร้างกระแสสังคมระดับประเทศ (national campaign) โดยการจัดตั้งโครงการ “เด็กไทยปลอดภัย” (SAFE KIDS THAILAND) ซึ่งคณะกรรมการประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐ และเอกชน ผู้ผลิต บุคคลที่มีชื่อเสียงใน ด้านการพิทักษ์สิทธิเด็ก และนักการเมือง ใช้พลังของสื่อสารมวลชนทั้งวารสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ในการผลักดัน
ให้เกิดกระแส โดยศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นฝ่ายประสานงานและปฏิบัติการ (ขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ (สสส)
– ใช้กรณีศึกษาที่ส่งผลกระทบจิตใจของคนในสังคมผ่านพลังสื่อสารมวลชนก่อให้เกิดความตระหนักในสังคม
– ผลิตสื่อการเรียนรู้แก่เด็ก ประชาชนทั่วไป ผู้นำชุมชน องค์กร และผู้กำหนดนโยบาย
– จัดการอบรมเผยแพร่ความรู้แก่ ผู้ดูแลเด็ก องค์กรท้องถิ่น โรงเรียน
3.5 กระตุ้นให้มีการสร้างและการใช้นโยบายสาธารณะ (public policy) เพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โดย
– ดำเนินงานให้มีการสร้างนโยบายสาธารณะ กฎหมายที่จำเป็น แต่ยังมิได้ถูกกำหนดไว้เช่นการกำหนดมาตรฐานและการตรวจสอบ(product standard and test )หมวกนิรภัยสำหรับเด็กที่มีขนาดเส้นรอบวงน้อยกว่า 500 มม. มาตรฐานที่นั่งสำหรับเด็กในรถยนต์ มาตรฐานที่นั่งและหมวกริภัยเด็กสำหรับจักรยาน มาตรฐานสนามเด็กเล่นและเครื่องเล่นสนาม มาตรฐานสวนสนุก นโยบายความปลอดภัยสำหรับเด็กในโรงเรียน การกำหนดให้เด็กอายุน้อยกว่า 10 ปีต้องนั่งเบาะหลังเท่านั้น เป็นต้น
– กระตุ้นให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายสาธารณะที่มีอยู่ เช่น ดำเนินการให้สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมพิจารณาใช้มาตรฐานบังคับ (ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานไม่สามารถวางขายในตลาด) ได้แก่ผลิตภัณฑ์ที่จะก่อเกิดอันตรายแก่เด็กเช่น ของเล่น อันตราย การสุ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์อันตรายแก่เด็กในตลาดร่วมกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค องค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และสื่อสารมวลชน กระตุ้นให้มีการตรวจสอบและตรวจจับการไม่ใช้หมวกนิรภัยในรถจักรยานยนต์ /การให้เด็กนั่งที่นั่งตอนหน้า (เนื่องจากเด็กใช้เข็มขัดนิรภัยไม่ได้) ดังนั้นปัญหาอุบัติเหตุ
และการบาดเจ็บจึงเป็นปัญหาที่สำคัญที่เป็นสาเหตุนำการตายในเด็กไทยในปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มที่จะก่อปัญหามากขึ้นอีกในอนาคต ประสบการณ์จากประเทศพัฒนาบ่งบอกว่าการวิจัยเพื่อให้รู้ถึงปัจจัยเสี่ยงและวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้และมีพันธะจะนำสู่การปฏิบัติ (research to practice) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม และนโยบายสาธารณะการดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ให้ได้นั้นจำเป็นต้องมี
การให้ความรู้แก่ประชาชนในวงกว้าง สร้างกระแสสังคม เคลื่อนไหวผู้กำหนดนโยบายในเวลาเดียวกัน
ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก
Child Safety Promotion and Injury Prevention Research Center (CSIP)