นอก
จากนี้ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันหาวิธีการป้องกัน
ร่วมกันสร้างเครือข่ายทีมงานเพื่อเสริมแหล่งองค์ความรู้
เพื่อนำไปสอนเด็กๆ ให้มีความรู้พื้นฐานเป็นภูมิคุ้มกัน
และเป็นกุศลในภายภาคหน้าสำหรับได้ช่วยเหลือเด็กๆ ได้ต่อไป
ให้เอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด และลดการตายของเด็กๆ
ได้
"การจัดโครงการเกี่ยวกับการวางมาตราการและแนวทางสร้างความปลอดภัยหรือสอนเด็ก
ว่ายน้ำ ต้องดำเนินการต่อเนื่อง และสร้างแบบแผนให้เป็นรูปธรรมชัดเจน
ยิ่งถ้าทำแล้วมีผลดีก็ต้องทำต่อไป เมื่อมีการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ
มากยิ่งขึ้น โครงการก็จะก้าวหน้า อย่างมีศักยภาพ"
ผู้อำนวยการสำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียน กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เช่นเดียวกับ "รศ.นพ.อดิศักดิ์
ผลิตผลการพิมพ์"
หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก
ที่ย้ำว่าจากสถิติการเสียชีวิตของเด็กๆ อันดับ 1
มาจากการจมน้ำ เพราะแค่จมน้ำเกิน 4
นาที ขาดอากาศหายใจทำให้สมองตายก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อดูเจาะลึกลงไปถึงช่วงอายุของเด็ก พบว่า
กลุ่มเด็กโตมีสถิติจมน้ำมากกว่าเด็กเล็ก
เนื่องจากเด็กเล็กยังอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ โดยตั้งแต่ปี
2546-25556
พบว่าในจำนวนเด็กที่เสียชีวิตจากการจมน้ำคิดเป็นร้อยละ 42
ของเด็กทั่วไปประเทศนั้น เด็กอายุ 1-4
ปี (อนุบาล) จากจำนวน 637
คนในปี 2545 ลดลงเหลือ 295
คนในปี 2556
กลุ่มอายุ
5-9 ปี (ประถม)
เสียชีวิตจากการจมน้ำร้อยละ 59
และในกลุ่มเด็กโตตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
เสียชีวิตลดลงเพียงร้อยละ 12 ของเด็กทั้งหมด
โดยจุดเสี่ยงของการเกิด อุบัติเหตุจนเสียชีวิตคือ
แหล่งน้ำขนาดเล็กในชุมชนใกล้บ้านเด็ก
และแอ่งน้ำบริเวณใกล้เคียงในพื้นที่ชุมชน
โดยเดือนที่มีอัตราการตายของเด็กสูงสุดคือ เมษายน-พฤษภาคม
ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และมาจากการออกไปเล่นกันไปช่วงปิดเทอม
|