Mobirise html5 website builder

เสี่ยง“ภัย”
เมื่อพาลูกไปเที่ยวงานบุญ 


บทความโดย
ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์

ใครที่เคยบอกว่ายุคนี้ไม่มีแล้ว
ที่พ่อแม่จะจูงลูกเข้าวัด

ผมขอเถียงคอเป็นเอ็น… ซึ่งจริงๆแล้วหลายท่านก็คงเห็นเช่นเดียวกับผม นั่นคือ ในวันหยุด หรือ เสาร์ อาทิตย์ กระทั่งวันทางศาสนพิธี จะมีคุณพ่อคุณแม่มากมายที่จูงลูกๆไปเข้าวัดทำบุญทำกุศล นัยว่าเพื่อไหว้พระขอพรเพื่อให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ทั้งยังเพื่อให้เด็กๆได้สัมผัสกับบรรยากาศอันสงบร่มรื่นวัดวาอาราม หรือแม้แต่ได้สุขสันต์หรรษากับกิจกรรมสนุกสนานที่จัดขึ้นภายในบริเวณวัด


ซึ่งในหลายเทศกาล ภายในวัดก็คึกคักไปด้วยงานขายสินค้า-ขายอาหารต่างๆ, มีชิงช้าสวรรค์, ปาเป้า, สาวน้อยตกน้ำ, มีวงดนตรีลูกทุ่ง, หมอลำเพลิน หรือคอนเสิร์ตนักร้อง…แถมด้วยสิ่งที่ได้กลายเป็นธรรมเนียมของแทบทุกงานในยุคนี้ นั่นก็คือ การจุดพลุ จุดไฟพะเนียง หรือ จุดประทัดกันอย่างเอิกเกริก เท่าที่บรรยายก็คงเห็นภาพแล้วนะครับว่า ท่ามกลางงานบุญนั้น ก็มีความเสี่ยงภัยอยู่ โดยเฉพาะอาจเกิดขึ้นกับลูกๆหลานๆตัวน้อยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

1.การนำพวกพลุ

หรือประทัด(บางทีเรียกประทัดยักษ์) ไปจุดเล่นตามสถานที่ต่างๆ
ที่มีผู้คนพลุกพล่านนั้นช่างไม่สมควรและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะในวัดซึ่งมีทั้งพระสงฆ์องคเจ้า ทั้งนักปฏิบัติธรรม คนชราและเด็กๆ
หลายท่านอาจจำได้ว่าราวหลายปีก่อน ทางจังหวัดเชียงใหม่

ซึ่งมีผู้คนได้รับบาดเจ็บจากวัตถุอันตรายดังกล่าวเป็นจำนวนมากในทุกปี
แถมยังมักนิยมเล่นกันในวัด หลายที่ก็ใช้วัดเป็นสถานที่จัดงานแข่งกันจุดดอกไม้ไฟ
เช่น ข่าวจากเนชั่น จ.เชียงใหม่ .. เด็กชาย ถูกประทัดยักษ์ระเบิดใส่มือจนนิ้วขาด
มีแผลที่มือซ้าย นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ถูกแรงระเบิดของประทัดยักษ์จนขาด

เจ้าหนูเก็บประทัดยักษ์ที่ตกลงมาจากโคมลอยที่มีการปล่อยบริเวณวัดสันอุ้ม เชียงใหม่
แล้วเอามานำมาจุดเล่นและเกิดระเบิดใส่มืออย่างรุนแรง

ทางโรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ ได้ออกภาพโปสเตอร์ 4 สี ขนาด17.5นิ้ว คูณ24 นิ้ว
เป็นภาพมือคนในสภาพเละเทะทั้ง 2 ข้าง อันเป็นผลจากการเล่นประทัดยักษ์

โปสเตอร์สุดสยองนี้ได้ถูกแจกจ่ายไปตามวัดต่างๆในเชียงใหม่ เพื่อให้ช่วยกันติดไว้ที่บอร์ดประจำวัด
ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งเตือนใจได้เป็นอย่างดี

ไม่ว่าจะเป็นบั้งไฟ-ประทัด-ดอกไม้ไฟ-พลุ หรือแม้แต่เม็ดมะยม

เหล่านี้มันคือวัตถุอันตราย ที่ทำให้เด็กๆหลายคนโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่ตาและรอบๆ ดวงตา เยื่อตา และตาดำ ทำให้ตาบอดก็มีไม่น้อย(ตาดำไหม้ ขุ่นมัว อาจทำให้เลือดออกช่องหน้าม่านตา ทำให้ตาบอดถาวรได้ ) แรงระเบิดของมันทำร้ายมือและข้อมือ หลายคนถึงกับกระดูกนิ้วมือแตกละเอียด หลายรายแพทย์ต้องตัดนิ้วหรือตัดมือทิ้ง หนทางเดียวก็คือ…ห้ามให้ลูกๆเล่นอย่างเด็ดขาด เพราะมันก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จัดว่าเป็นวัตถุระเบิดทั้งสิ้น นอกจากห้ามให้ลูกๆเล่นอย่างเด็ดขาดแล้ว ยังต้องไม่ไปเล่นรวมกลุ่ม หรือไม่แม้แต่เข้าไปอยู่ใกล้คนที่เล่นพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟฯลฯ ด้วยครับ 

2…เมื่อพูดถึงประทัด-ดอกไม้ไฟ

ก็ อดพูดถึงบั้งไฟมิได้

ซึ่งได้กลายเป็นของเล่นยอดฮิตในแทบทุกงาน ทั้งที่แต่ก่อน เจ้าจรวดบั้งไฟจะจุดกันเฉพาะในงานบุญบั้งไฟ จุดกันเฉพาะในงานบุญบั้งไฟ(ราวเดือน 5 เดือน7) ในภาคอีสานบ้านเราแต่ก่อนนั้น เขาจะเลือกไม้ไผ่ลำโตๆมาทำเป็นบั้งไฟ โดยทะลวงปล้องให้ถึงกัน แล้วอัด ดินปืนให้แน่นด้วยการตำ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยใช้ลำไผ่กันแล้ว แต่มาใช้พวกท่อเหล็ก, ท่อประปา แล้วก็ท่อพีวีซี ซึ่งกลับรุนแรงอันตรายยิ่งกว่าเดิม

แถมนิยมยิงจรวดบั้งไฟกันทีละเป็นจำนวนมากๆ พุ่งไปได้ไกลหลายสิบกิโลเมตร จึงสร้างความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินมากมาย จากงานสนุกสนานก็จึงกลายเป็นความเศร้าสลด

3 … จุดธูป 1 ดอก

มีพิษเท่ากับ บุหรี่ 1 มวน !

เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองได้มี ได้มีงานวิจัยที่น่าตกตะลึง ที่มีการระบุว่า 


“ธูปที่จุด 1 ดอก มีสารก่อมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวน หากจุดแค่ 3 ดอก ในบ้านก่อมลพิษเท่าสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง! “


โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ศูนย์สื่อสาร วิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ออกโรงชูประเด็น

“สารก่อมะเร็ง : ภัยเงียบที่มา กับควันธูป” อันเป็นผลงานวิจัยของ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และดร.พนิดา นวสัมฤทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดยท่านทั้งสองพร้อมทีมนักวิจัย ทำการประเมินคน 40คนซึ่งทำงานในวัดว่า

สุขภาพของพวกเขาจะได้ผลกระทบ จากการสูดดมควันธูปเป็นประจำ


ทีมของคุณหมอ ได้ปักหลักภายในวัดขนาดใหญ่ 3 แห่งซึ่งมีการจุดธูปในปริมาณมาก จากนั้นก็ทำการตรวจหาปริมาณสารก่อมะเร็งในอากาศ…และแล้วก็ได้พบสารก่อมะเร็งในควันธูป ถึง 3 ชนิด คือเบนซีน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน หนำซ้ำมันยังมีความเข้มข้นสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก


นอกจากสารก่อมะเร็ง ยังหนาแน่นไปด้วยฝุ่นละออง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และ ก๊าซเรือนกระจก(มีเทน) อันเป็นต้นเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อน


ดังนั้นยามที่พาลูกเข้าวัด ก็คงได้คำตอบแล้วนะครับว่า … พาห่างๆจากควันธูปน่าจะปลอดภัยมากกว่า และคุณหมอและทีมงานได้เรียกร้องว่า “ภาครัฐควรมีการรณรงค์เรื่องนี้ เช่น การรณรงค์ดับธูปก่อนปักลงกระถางเพื่อลดควัน และในอนาคตภาคอุตสาหกรรมควรมีการผลิตธูปที่เมื่อจุดแล้วดับได้อย่างรวดเร็ว” (ธูปไฟฟ้าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีนะครับ…) 

4...เที่ยววัด

ระวังลูกจมน้ำ !!!

13 สิงหาคม 2553 พ.ต.ท.สำราญ สุขโต พนักงานสอบสวน สภ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งจากพระสงฆ์วัดปากคลองและชาวบ้าน จาก ต.หัวไผ่ อ.มหาราช ว่า มีเด็กจมน้ำตายในแม่น้ำลพบุรีบริเวณหน้าวัดปากคลอง


13 กุมภาพันธ์ 2553 มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตจำนวน 2 ราย บริเวณริมคลองสำโรง ตรงข้ามวัดมงคลนิมิตร ม.1 ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ นี่เป็นเพียง 2 กรณี จากหลายต่อหลายกรณีที่เด็กต้องมาจมน้ำตายในบริเวณวัด เพราะวัดบ้านเรานั้น มักจะอยู่ใกล้แหล่ง โดยเฉพาะที่มี กระแสน้ำไหลแรงเชี่ยวกรากและไหลวน และมีระดับน้ำที่ลึก


ดังนั้นหากบริเวณวัดที่พาลูกไปเที่ยวใกล้แหล่งน้ำ เราจะต้องดูแลลูกให้มาก อย่าให้คลาดสายตาได้ เพราะแม้แต่เด็กๆที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น ยังมีที่จมน้ำจนเสียชีวิต เราที่มาจากต่างถิ่นจึงต้องระมัดระวังให้มากครับ

ก็คงสรุปง่ายๆสั้นๆว่า

คุณพ่อคุณแม่หากจะพาลูกไปเที่ยวหรือ ไปธุระที่ใดก็ตาม ก็ไม่ควรให้คลาดสายตาเป็นอันขาด เพราะไม่มีสถานที่ใดทั้งสิ้นที่จะมาการันตีได้ว่า ลูกๆของเราจะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์


ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์