ชี้ทำหลังโค้ง ปวดไหล่ คอ หลัง เสี่ยงเตี้ยในระยะยาว ชงจัดตารางเรียนเหมาะสม
ไม่ให้เด็กแบกของมาเรียนมากเกินไป ควรมีล็อกเกอร์แบบต่างประเทศ
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า นักเรียนไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 4 ต้องแบกกระเป๋าหนักเรียนที่หนักมากจนเกินมาตรฐาน
ซึ่งทั่วโลกกำหนดเกณฑ์น้ำหนักกระเป๋านักเรียนที่เหมาะสมเอาไว้ คือ ไม่เกินร้อยละ 10 - 20 ของน้ำหนักตัว เช่น เด็กมีน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม (กก.) ควรแบกกระเป๋าหนักเรียนหนักไม่เกิน 2 - 4 กก. เท่านั้น ส่วนประเทศไทยคิดเป็นค่ากลาง ๆ คือ ไม่เกินร้อยละ 15 ของน้ำหนักตัว ทั้งนี้ การแบกกระเป๋าที่มีน้ำหนักมากเกินไป จะมีผลกระทบทำให้กระดูกสันหลังโค้ง ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ บางคนเป็นระยะสั้น ๆ บางคนเป็นเรื้อรัง ซึ่งในระยะยาวอาจมีผลต่อพัฒนาการด้านความสูงได้ แต่ที่สำคัญคือเมื่อมีปัญหาสุขภาพย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเรียน
ทีมงานศูนย์วิจัยฯ นำโดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี , คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี รองประธานคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ
เปิดการเสวนา เรื่อง “เครื่องมือทางการศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางกายภาพของเด็กและเยาวชน”
ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการกิจการเด็ก เยวชน และผู้สูงอายุ ในคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและทราบถึงปัญหา ตลอดจนตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากเครื่องมือทางการศึกษาในสถาบันการศึกษาของไทยโดยร่วมกันกำหนดแนวทางในการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาที่เหมาะสมต่อสุขภาวะทางกายภาพของเด็กและเยาวชน ตลอดจนกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ และติดตามการประเมินผล เพื่อนำไปสู่การจัดทำร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 และยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาของไทยที่เหมาะสมต่อไป โดยมี พลเอก อรุณ สมตน รองประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวรายงาน
มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดไว้ว่า
“การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาเด็กไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ ภูมิปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข”
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ภาครัฐได้ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาวะของนักเรียนควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านการศึกษา เนื่องจากสุขภาวะของนักเรียน ถือเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทุกด้านของเด็กในวัยเรียน และส่งผลต่อศักยภาพในการศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้สามารถพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นกำลังสำคัญของครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติต่อไป
นอกจากนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ยังได้ระบุถึงปัญหาเรื่องจำนวนหนังสือเรียนของเด็กที่มากเกินไปในแต่ละวัน ทำให้เด็กต้องรับภาระในการสะพายกระเป๋านักเรียนที่หนักทุกวัน โดยเฉพาะเด็กในชั้นประถมศึกษา
ซึ่งผลการวิจัยได้เสนอแนะว่าเด็กในระดับชั้นประถมศึกษาไม่ควรแบกกระเป๋านักเรียนหนักเกิน 10% ของน้ำหนักตัว แต่สภาพปัจจุบันพบว่า ประมาณ 80% ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาไปโรงเรียนโดยแบกสัมภาระที่มีน้ำหนักเกิน 10% ของน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังของเด็ก และส่งผลต่อประสิทธิภาพและสมาธิในการเรียนรู้ของเด็กด้วย นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในการเดินทาง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ตามมา
ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนสะท้อนถึงปัญหาการจัดการศึกษาของไทยได้เป็นอย่างดียิ่ง ดังนั้น คณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงเห็นควรจัดเวทีเสวนาเรื่อง “เครื่องมือทางการศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางกายภาพของเด็กและเยาวชน”
โดยเชิญผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมเสวนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและทราบถึงปัญหา ตลอดจนตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากเครื่องมือทางการศึกษาในสถาบันการศึกษาของไทยซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางกายภาพของเด็กและเยาวชนโดยเปิดเวทีเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและนำเสนอข้อมูล ผลกระทบต่างๆ เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาที่เหมาะสมต่อสุขภาวะทางกายภาพของเด็กและเยาวชน
ตลอดจนกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ และแนวทางการติดตามประเมินผล รวมทั้งหน่วยงานผู้รับผิดชอบต่อไป ทั้งนี้ เพื่อนำไปสู่การจัดทำร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 และยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยที่เหมาะสมต่อไป